หน้าแรก / บทความที่น่าสนใจ
"New Normal" ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลัง "โควิด-19"
เป็นที่ทราบกันดีว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างมาก ธุรกิจหลายประเภทต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป และในส่วนนี้มนุษย์ก็จะเกิดการปรับตัวไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า “New Normal” หรือ New Norm ขึ้น ซึ่งก็หมายถึง “ความปกติใหม่” นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในการใช้ชีวิตประจำวันที่แตกต่างไปจากเดิม
พฤติกรรมของ New Normal ที่อาจเปลี่ยนไป
โลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีออนไลน์
หลังจากเกิดโควิด 19 มาตั้งแต่ปลายปี่ที่แล้ว หลายบริษัทเพื่อเป็นการป้องกันปัญหากับยอมรับนโยบายของภาครัฐจึงมีการอนุโลมให้ทำงานที่บ้านโดยใช้เทคโนโลยีออนไลน์เข้ามาช่วย หลายสถานศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอนทางออนไลน์ รวมถึงแม่ค้าพ่อค้าออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้น อาชีพใหม่ก็เกิดขึ้นอีกมากมายเพราะผู้คนบางส่วนที่โดนพิษเศรษฐกิจก็ว่างงานมากขึ้น
ความใส่ใจด้านสุขภาพและอนามัย
พิษจากโควิด 19 ไม่กระทบเรื่องสุขภาพแค่คนที่ติดเชื้อเท่านั้น เพราะโรคนี้ยังได้กระทบไปถึงกลุ่มบุคคลทั่วไปที่เริ่มหันมามองตัวเองในเรื่องการดูแลสุขภาพและอนามัยมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะไม่ค่อยคนใช้หน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมือเป็นเป็นปกติ แต่ต่อแม้จะหมดโรคโควิดมนุษย์หลายๆคนก็จะยังคงใช้หน้ากากอนามัยและเจลล้างมืออยู่ รวมถึงหลายๆสถานที่ก็จะมีการใส่ใจเรื่องความสะอาดและการป้องกันโรคติดต่อที่เพิ่มมากขึ้น ธุรกิจด้านสุขภาพก็อาจเติบโตขึ้นเรื่องจากคนหันมาใส่ใจในด้านนี้
อยู่ที่บ้านก็ทำงานได้
หลังจากที่หลายบริษัทเริ่มมีการให้พนักงานทำงานที่บ้าน ในหลายบริษัทเริ่มแรกอาจกังวลใจว่าการทำงานที่บ้านอาจทำให้พนักงานไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพแต่กลายบางส่วนกลับทำงานได้ตามปกติหรือดียิ่งขึ้นกว่าเก่าเนื่องจากมีเวลาใส่ใจในงานมากขึ้นกว่าที่จะเอาเวลาไปทิ้งบนท้องถนน จนทำให้บริษัทเรานี้รับทราบถึงความเป็นไปได้ที่ต่อไปพนักงานก็สามารถทำงานที่บ้านได้แถมลดต้นทุกในส่วนของบริษัทได้อีก
New Normal กับยุค Telehealth
ในช่วงการระบาดของ COVID-19 จากมาตรการ Social Distancing ทำให้หลายคน มักจะหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเพื่อสังเกตอาการของตนเอง หรือใช้บริการการดูแลสุขภาพผ่านระบบ Telehealth นั่นคือ การนำเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบต่างๆ มาสนับสนุนการให้บริการทางสุขภาพที่หลากหลาย เช่น
สำหรับในประเทศไทยเองนั้น Telemedicine ยังมีข้อจำกัดในหลายด้าน หนึ่งในข้อจำกัดที่สำคัญคือ การที่แพทย์ไม่สามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยได้ ซึ่งในการให้คำวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์นั้น บ่อยครั้งที่แพทย์ต้องการข้อมูลจากการฟังเสียงปอด ฟังเสียงหัวใจ ดูลำคอ และอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
แต่หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่ถูกกล่าวถึง และพยายามเข้ามาอุดช่องโหว่นี้ คือ เครื่องมือในกลุ่ม Handheld Examination Kit เช่น TytoCare ซึ่งเป็น Digital Stethoscope หรือ เครื่องมือที่ใช้ฟังเสียงหัวใจและปอด อีกทั้งยังสามารถส่องดูหู ลำคอ จมูก ผิวหนังและวัดอุณหภูมิร่างกายได้ในเครื่องเดียว ทำให้แพทย์ได้ข้อมูลจากร่างกายคนไข้ โดยไม่ต้องสัมผัสใกล้ชิดโดยตรง ซึ่งเครื่องมือนี้ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของทั้งสหรัฐอเมริกาและไทย